DeFi (Decentralized Finance) ได้ปฏิวัติวิธีที่บุคคลเข้าถึงบริการทางการเงินโดยการกำจัดตัวกลางและใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมนี้มาพร้อมกับความท้าทายด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีแบบข้ามโปรโตคอล การเข้าใจว่าการโจมตีเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา นักลงทุน และผู้ใช้ที่ต้องการนำทางในโลกของ DeFi อย่างปลอดภัย
การโจมตีแบบข้ามโปรโตคอลเกี่ยวข้องกับช่องโหว่ที่ครอบคลุมหลายโปรโตคอลบล็อกเชนหรือแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ภายในระบบนิเวศเดียวกัน ต่างจากการโจมตีที่เน้นเป้าหมายไปยังสมาร์ทคอนทรักต์หรือโปรโตคอลเดียว การโจมตีเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรโตคอลต่าง ๆ เช่น สะพาน (bridges), แพลตฟอร์มกู้ยืม, หรือสลับโทเค็น เพื่อสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากพวกเขาใช้งานระบบเชื่อมต่อกันแทนที่จะเป็นส่วนประกอบเดี่ยว ผลกระทบจึงอาจกว้างขวางและยากต่อการควบคุม
สมาร์ทคอนทรักต์คือโค้ดอัตโนมัติที่ดำเนินธุรกรรมทางการเงินบนบล็อกเชน เช่น Ethereum หรือ Binance Smart Chain ในขณะที่ช่วยให้สามารถดำเนินงานโดยไม่ต้องไว้วางใจและทำให้อัตโนมัติ ความซับซ้อนของมันก็ทำให้เสี่ยงต่อข้อผิดพลาดและช่องโหว่ได้
ปัญหาที่พบได้ทั่วไป ได้แก่:
Reentrancy Attacks: เมื่อสมาร์ทคอนทรักต์เรียกใช้งานอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วถูกเรียกกลับเข้าไปในสมาร์ทคอนทรักต์เดิมก่อนที่จะเสร็จสิ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียทุนซ้ำ ๆ
Integer Overflows/Underflows: ข้อผิดพลาดเมื่อค่าตัวเลขเกินค่ามากที่สุดตามชนิดข้อมูลที่ใช้ในโค้ด
Incorrect Library Usage: การใช้งานไลบรารีภายนอกผิดวิธี อาจสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถ้าไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเหมาะสม
ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนเหล่านี้เพื่อปรับเปลี่ยนกระแสธุรกรรมผ่านหลายโปรโตคอลพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อโปรโต คอลเหล่านั้นมีปฏิสัมพันธ์ผ่านโทเค็นร่วมกันหรือสะพานระหว่างสาย (cross-chain bridges)
สะพานระหว่างสาย (Cross-chain bridges) เชื่อมต่อเครือข่ายบล็อกเชนต่าง ๆ เช่น Ethereum กับ Solana หรือ Binance Smart Chain ช่วยให้สินทรัพย์ เช่น โทเค็น เคลื่อนย้ายได้อย่างไร้รอยต่อ แต่ก็เพิ่มช่องทางในการโจมตี เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านสถาปัตยกรรม
ช่องโหว่มักเกิดจาก:
มาตราการรักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอ: สมาร์ท คอนทรักต์ของสะพานบางแห่งถูกออกแบบมาไม่ดี ทำให้ไม่มีมาตรฐานตรวจสอบ validation ที่เหมาะสม
ความเสี่ยงด้านศูนย์กลาง: บางสะพานขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบศูนย์กลาง ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับผู้โจมตีเมื่อผู้โจมตีพบข้อผิดพร่องในส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบสะ พาน เช่น การสร้างเหรียญใหม่โดยไม่ได้รับรองความถูกต้อง ก็สามารถควบคู่สินทรัพย์บนหลายสายพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ Wormhole Hack ในปี 2022 ที่นักแฮ็กเกอร์เจาะช่องโหว่แล้วสร้างเหรียญ $320 ล้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และแลกเปลี่ยนเป็น SOL บนเครือข่าย Solana ซึ่งส่งผลให้มีเงินทุนสูญหายประมาณ 320 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะถูกควบรวมไว้ได้
ตัวอย่างเหตุการณ์จริงช่วยให้เข้าใจว่าการโจมตีกำลังเกิดขึ้นอย่างไร:
Wormhole เป็นสะ พานระหว่างสายยอดนิยม เชื่อมห่วง Ethereum กับ Solana และเครือข่ายอื่น ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักแฮ็กเกอร์เจาะช่องโหว่ ทำให้สามารถสร้างเหรียญ wrapped Ether (wETH) จำนวน 120,000 เหรียญออกมาเอง—กระบวนการนี้เรียกว่า "minting" โดยไม่มีสิทธิ์ แล้วแลกเปลี่ยนเป็น SOL บนอีเทอร์เรียมนั้น เหตุการณ์นี้ทำให้มีเงินประมาณ 320 ล้านดอลลาร์ ถูกโกงไปก่อนที่จะได้รับมือทันเวลา
Nomad เป็นอีกหนึ่งสะ พานระหว่างสาย ช่วยในการส่งสินทรัพย์ระหว่างหลายเครือข่าย รวมถึง Ethereum และ Avalanche ในเดือนสิงหาคม 2022 ผู้โจ ม ตีพบข้อผิดพร่องในสมาร์ ท คอนทรักต์ ทำให้สามารถดูดเงินฝากของผู้ใช้ประมาณ $190 ล้าน ได้รวดเร็วหลังจากเจาะจงจุดอ่อนเกี่ยวกับข้อความส่งผ่านระหว่างสาย
เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าระบบที่เชื่อ มั่นกันมากขึ้น ยิ่งเสี่ยงสูงขึ้น: การละเมิดส่วนประกอบเดียว สามารถแพร่กระจายกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั่วทั้งเครือ ข่าย ส่งผลกระทบรุนแรงต่ อสิน ท รัพย์ของผู้ใช้อย่างพร้อมเพรียงกัน
เหตุผลหลักคือ:
เพื่อจัดการความเสี่ยง จำเป็นต้องดำเนินมาตราการเชิงรับตั้งแต่ต้นด้วยแนวทางดีที่สุดสำหรับความปลอดภัยในการเขียน code:
ทำ audit ครอบคลุมทั้งด้วยมือโดยทีมรักษาความปลอดภัย และเครื่องมือ automated สำหรับ วิเคราะห์ smart contract โดยเฉพาะ เช่น MythX หรือ Slither เพื่อค้นหา vulnerabilities ตั้งแต่ก่อน deployment
นำแนวทางเขียน code ตามมาตรฐานระดับโลก เช่น วิธี formal verification ที่พิสูจน์คุณภาพด้วยตรรกะ รวมถึงตรวจสอบ validation อย่างเข้ มงวด โดยเฉ especially at protocol boundaries like bridges or token swaps; ใช้ multi-signature wallets สำหรับคำ สั่งสำ คั ญ เกี่ยว กับ การ เค ลื่อนไหว ของ สิน ท รัพ ย์ ระ ห ว า ง ระบบ
บาง โปร เจ็ค DeFi ปัจจุบันเสนอผลิตภัณฑ์ประกันครอบคลุม ความ สู ญ เสีย จาก ช่อง โ ห ว่ เ ล ย — เป็น เครื่องมือ สำ คั ญ สำหรับ รับ มือ กับ ภัย คุก คาม ที่ กำลัง เปลี่ย น ไป
สนับสนุนโมเดล open-source ให้สมาชิกชุมชนช่วยรีวิว code; จัดเตรีย ม แผนอุบัติ เหตุ แบบ โปร่งใส เพื่อ ให้ ผู้ มี ส่วน ได้ รับรู้ วิธี จัด การ เมื่อ เกิด ช่อง โ ห ว่ า
ในยุคนิวนอม DeFi ที่เติบโต ด้วยเทคนิค Layer-two scaling solutions และเฟรมเวิร์คน interoperability ขั้นสูง รวมถึงมาตรฐาน communication protocols จุดหมายคือ ลดพื้นที่สำหรับ attack surfaces ของ interactions ระหว่างระบบต่างๆ ให้ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้ แนวโน้มใหม่ๆ ได้แก่ การ พัฒนา ภาษา โปรแกรมเมอร์ ที่ ปลอด ภัย มาก ขึ้น เฉ พา ทาง สำหรับ smart contracts (ตัวอย่าง Vyper), เทคนิค formal verification ผสมผสาน เข้ากับ กระ บวน ก า ร พ ฤ ติ ก า ร ด้าน Industry Collaboration เพื่อตั้ง มาต ฐา ด้าน security standards สำหรับ bridging technologies อย่างแข็งขัน
Lo
2025-05-14 11:54
วิธีการเกิด cross-protocol exploits ในระบบ DeFi คืออย่างไร?
DeFi (Decentralized Finance) ได้ปฏิวัติวิธีที่บุคคลเข้าถึงบริการทางการเงินโดยการกำจัดตัวกลางและใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมนี้มาพร้อมกับความท้าทายด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีแบบข้ามโปรโตคอล การเข้าใจว่าการโจมตีเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา นักลงทุน และผู้ใช้ที่ต้องการนำทางในโลกของ DeFi อย่างปลอดภัย
การโจมตีแบบข้ามโปรโตคอลเกี่ยวข้องกับช่องโหว่ที่ครอบคลุมหลายโปรโตคอลบล็อกเชนหรือแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ภายในระบบนิเวศเดียวกัน ต่างจากการโจมตีที่เน้นเป้าหมายไปยังสมาร์ทคอนทรักต์หรือโปรโตคอลเดียว การโจมตีเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรโตคอลต่าง ๆ เช่น สะพาน (bridges), แพลตฟอร์มกู้ยืม, หรือสลับโทเค็น เพื่อสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากพวกเขาใช้งานระบบเชื่อมต่อกันแทนที่จะเป็นส่วนประกอบเดี่ยว ผลกระทบจึงอาจกว้างขวางและยากต่อการควบคุม
สมาร์ทคอนทรักต์คือโค้ดอัตโนมัติที่ดำเนินธุรกรรมทางการเงินบนบล็อกเชน เช่น Ethereum หรือ Binance Smart Chain ในขณะที่ช่วยให้สามารถดำเนินงานโดยไม่ต้องไว้วางใจและทำให้อัตโนมัติ ความซับซ้อนของมันก็ทำให้เสี่ยงต่อข้อผิดพลาดและช่องโหว่ได้
ปัญหาที่พบได้ทั่วไป ได้แก่:
Reentrancy Attacks: เมื่อสมาร์ทคอนทรักต์เรียกใช้งานอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วถูกเรียกกลับเข้าไปในสมาร์ทคอนทรักต์เดิมก่อนที่จะเสร็จสิ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียทุนซ้ำ ๆ
Integer Overflows/Underflows: ข้อผิดพลาดเมื่อค่าตัวเลขเกินค่ามากที่สุดตามชนิดข้อมูลที่ใช้ในโค้ด
Incorrect Library Usage: การใช้งานไลบรารีภายนอกผิดวิธี อาจสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถ้าไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเหมาะสม
ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนเหล่านี้เพื่อปรับเปลี่ยนกระแสธุรกรรมผ่านหลายโปรโตคอลพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อโปรโต คอลเหล่านั้นมีปฏิสัมพันธ์ผ่านโทเค็นร่วมกันหรือสะพานระหว่างสาย (cross-chain bridges)
สะพานระหว่างสาย (Cross-chain bridges) เชื่อมต่อเครือข่ายบล็อกเชนต่าง ๆ เช่น Ethereum กับ Solana หรือ Binance Smart Chain ช่วยให้สินทรัพย์ เช่น โทเค็น เคลื่อนย้ายได้อย่างไร้รอยต่อ แต่ก็เพิ่มช่องทางในการโจมตี เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านสถาปัตยกรรม
ช่องโหว่มักเกิดจาก:
มาตราการรักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอ: สมาร์ท คอนทรักต์ของสะพานบางแห่งถูกออกแบบมาไม่ดี ทำให้ไม่มีมาตรฐานตรวจสอบ validation ที่เหมาะสม
ความเสี่ยงด้านศูนย์กลาง: บางสะพานขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบศูนย์กลาง ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับผู้โจมตีเมื่อผู้โจมตีพบข้อผิดพร่องในส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบสะ พาน เช่น การสร้างเหรียญใหม่โดยไม่ได้รับรองความถูกต้อง ก็สามารถควบคู่สินทรัพย์บนหลายสายพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ Wormhole Hack ในปี 2022 ที่นักแฮ็กเกอร์เจาะช่องโหว่แล้วสร้างเหรียญ $320 ล้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และแลกเปลี่ยนเป็น SOL บนเครือข่าย Solana ซึ่งส่งผลให้มีเงินทุนสูญหายประมาณ 320 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะถูกควบรวมไว้ได้
ตัวอย่างเหตุการณ์จริงช่วยให้เข้าใจว่าการโจมตีกำลังเกิดขึ้นอย่างไร:
Wormhole เป็นสะ พานระหว่างสายยอดนิยม เชื่อมห่วง Ethereum กับ Solana และเครือข่ายอื่น ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักแฮ็กเกอร์เจาะช่องโหว่ ทำให้สามารถสร้างเหรียญ wrapped Ether (wETH) จำนวน 120,000 เหรียญออกมาเอง—กระบวนการนี้เรียกว่า "minting" โดยไม่มีสิทธิ์ แล้วแลกเปลี่ยนเป็น SOL บนอีเทอร์เรียมนั้น เหตุการณ์นี้ทำให้มีเงินประมาณ 320 ล้านดอลลาร์ ถูกโกงไปก่อนที่จะได้รับมือทันเวลา
Nomad เป็นอีกหนึ่งสะ พานระหว่างสาย ช่วยในการส่งสินทรัพย์ระหว่างหลายเครือข่าย รวมถึง Ethereum และ Avalanche ในเดือนสิงหาคม 2022 ผู้โจ ม ตีพบข้อผิดพร่องในสมาร์ ท คอนทรักต์ ทำให้สามารถดูดเงินฝากของผู้ใช้ประมาณ $190 ล้าน ได้รวดเร็วหลังจากเจาะจงจุดอ่อนเกี่ยวกับข้อความส่งผ่านระหว่างสาย
เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าระบบที่เชื่อ มั่นกันมากขึ้น ยิ่งเสี่ยงสูงขึ้น: การละเมิดส่วนประกอบเดียว สามารถแพร่กระจายกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั่วทั้งเครือ ข่าย ส่งผลกระทบรุนแรงต่ อสิน ท รัพย์ของผู้ใช้อย่างพร้อมเพรียงกัน
เหตุผลหลักคือ:
เพื่อจัดการความเสี่ยง จำเป็นต้องดำเนินมาตราการเชิงรับตั้งแต่ต้นด้วยแนวทางดีที่สุดสำหรับความปลอดภัยในการเขียน code:
ทำ audit ครอบคลุมทั้งด้วยมือโดยทีมรักษาความปลอดภัย และเครื่องมือ automated สำหรับ วิเคราะห์ smart contract โดยเฉพาะ เช่น MythX หรือ Slither เพื่อค้นหา vulnerabilities ตั้งแต่ก่อน deployment
นำแนวทางเขียน code ตามมาตรฐานระดับโลก เช่น วิธี formal verification ที่พิสูจน์คุณภาพด้วยตรรกะ รวมถึงตรวจสอบ validation อย่างเข้ มงวด โดยเฉ especially at protocol boundaries like bridges or token swaps; ใช้ multi-signature wallets สำหรับคำ สั่งสำ คั ญ เกี่ยว กับ การ เค ลื่อนไหว ของ สิน ท รัพ ย์ ระ ห ว า ง ระบบ
บาง โปร เจ็ค DeFi ปัจจุบันเสนอผลิตภัณฑ์ประกันครอบคลุม ความ สู ญ เสีย จาก ช่อง โ ห ว่ เ ล ย — เป็น เครื่องมือ สำ คั ญ สำหรับ รับ มือ กับ ภัย คุก คาม ที่ กำลัง เปลี่ย น ไป
สนับสนุนโมเดล open-source ให้สมาชิกชุมชนช่วยรีวิว code; จัดเตรีย ม แผนอุบัติ เหตุ แบบ โปร่งใส เพื่อ ให้ ผู้ มี ส่วน ได้ รับรู้ วิธี จัด การ เมื่อ เกิด ช่อง โ ห ว่ า
ในยุคนิวนอม DeFi ที่เติบโต ด้วยเทคนิค Layer-two scaling solutions และเฟรมเวิร์คน interoperability ขั้นสูง รวมถึงมาตรฐาน communication protocols จุดหมายคือ ลดพื้นที่สำหรับ attack surfaces ของ interactions ระหว่างระบบต่างๆ ให้ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้ แนวโน้มใหม่ๆ ได้แก่ การ พัฒนา ภาษา โปรแกรมเมอร์ ที่ ปลอด ภัย มาก ขึ้น เฉ พา ทาง สำหรับ smart contracts (ตัวอย่าง Vyper), เทคนิค formal verification ผสมผสาน เข้ากับ กระ บวน ก า ร พ ฤ ติ ก า ร ด้าน Industry Collaboration เพื่อตั้ง มาต ฐา ด้าน security standards สำหรับ bridging technologies อย่างแข็งขัน
คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข