kai
kai2025-05-01 12:34

คุณใช้เกณฑ์เกลียว (Kelly Criterion) ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในการเทรดทางเทคนิคอย่างไรบ้าง?

วิธีการนำหลักเกณฑ์ Kelly มาใช้ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในเทรดดิ้งเชิงเทคนิค

ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ Kelly และบทบาทของมันในเทรดดิ้ง

หลักเกณฑ์ Kelly เป็นแนวทางทางคณิตศาสตร์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดขนาดเดิมพันโดยมุ่งเน้นให้การเติบโตของทุนระยะยาวสูงสุด เดิมทีพัฒนาขึ้นโดย John L. Kelly Jr. ในปี ค.ศ. 1956 สูตรนี้ได้รับการนำไปใช้แพร่หลายมากขึ้นนอกเหนือจากการพนัน โดยเฉพาะในด้านการเงินและการเทรดดิ้ง ในเชิงเทคนิค การใช้หลักเกณฑ์ Kelly ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจัดสรรทุนส่วนไหนให้กับแต่ละรายการตามความน่าจะเป็นที่ประมาณไว้และผลตอบแทนที่อาจได้รับ

แก่นแท้ของสูตรคือ การสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยคำนวณสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดของทุนทั้งหมดหรือเงินลงทุนที่จะนำไปใช้ในโอกาสนั้น ๆ วิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตสูงสุดพร้อมทั้งควบคุมความเสี่ยงในระยะยาว จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในตลาดที่ผันผวน เช่น สกุลเงินคริปโต หรือสภาพแวดล้อมการซื้อขายแบบ high-frequency trading

องค์ประกอบสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ Kelly

เพื่อให้สามารถใช้งานแนวทาง Kelly ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดย่อมต้องเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี้:

  • ค่าความคาดหวัง (Expected Value - EV): ผลตอบแทนเฉลี่ยที่จะได้รับจากการเทรดหากทำซ้ำหลายครั้ง
  • ความน่าจะเป็นชนะ (p): โอกาสที่จะทำกำไรได้จากรายการนั้น
  • ความน่าจะเป็นแพ้ (q): โอกาสที่จะเสียหรือไม่สำเร็จ ซึ่งโดยทฤษฎี ( q = 1 - p )
  • อัตราต่อรองหรืออัตราผลตอบแทน (b): อัตราส่วนแสดงผลกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับขาดทุน เช่น ถ้าโอกาสชนะคือ 2:1 หมายถึง ( b=2 )

สูตรคลาสสิกที่นิยมใช้อยู่คือ:

[ f = \frac{bp - q}{b} ]

โดย (f) คือ สัดส่วนของเงินทุนปัจจุบันที่จะนำไปลงทุนต่อหนึ่งรายการ

ขั้นตอนทีละขั้นตอนในการใช้งานสูตร

  1. ระบุโอกาสในการเข้าเทรด: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อหาโอกาสต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวย

  2. ประมาณค่าความน่าจะเป็น: วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังหรือเงื่อนไขตลาด เพื่อประมาณค่าความสำเร็จ ((p)) ตัวอย่างเช่น หากย้อนดูแล้วพบว่า setup คล้ายกันชนะประมาณ 60% ((p=0.6)) ก็สามารถนำตัวเลขนี้มาใช้เป็นค่าเริ่มต้นได้

  3. กำหนดอัตราต่อรอง: คำนวณอัตราผลตอบแทนคร่าว ๆ จากระดับราคาที่เข้าซื้อและเป้าหมายกำไร เทียบกับระดับ stop-loss ซึ่งจะช่วยให้ได้ค่า (b) ตัวอย่างเช่น เสี่ยง $100 แล้วตั้งเป้าไว้ $200 ก็จะได้ (b=2)

  4. คำนวณสัดส่วนตำแหน่งลงทุนสูงสุด: นำค่าที่ได้ใส่ลงในสูตร Kelley:

    [f = \frac{b p - (1-p)}{b}]

    ยกตัวอย่างด้วยตัวเลขก่อนหน้า:

    [f = \frac{2 * 0.6 - 0.4}{2} = \frac{1.2 - 0.4}{2} = \frac{0.8}{2} = 0.4]

    ซึ่งหมายถึง คำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 40% ของทุนปัจจุบันต่อหนึ่งรายการ — แต่ผู้ค้ารายอื่นมักปรับลดลงตามระดับความเสี่ยงที่รับไหว

  5. ปรับตามระดับความเสี่ยงส่วนตัว

แม้ว่าสูตรจะบ่งบอกว่าการลงทุนด้วยจำนวนเต็มเต็มอาจดูเหมือนสูง—โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน—นักเทรดย่อมควรรักษาระดับไว้ให้อยู่ในกรอบรับผิดชอบ และปรับลดจำนวนลงตามสถานการณ์จริง เช่น:

  • ใช้กลยุทธ์Kelly แบบครึ่งหนึ่ง หรือควอร์เตอร์-Kelly เมื่อไม่มั่นใจเรื่องค่าความสำเร็จ
  • ใช้คำสั่งหยุดขาดทุนร่วมกับตำแหน่งลงทุนตามจำนวนขั้นต่ำเหล่านี้เพื่อจำกัดความเสียหาย

แนวคิดด้านบริหารจัดการความเสี่ยง

แม้ว่าหลักเกณฑ์ Kelly จะมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดีเยี่ยม แต่ถ้านำไปใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้นักลงทุนเจอโบนัสภายในตลาดซึ่งไม่มีใครรู้จักดี เรียกว่า overexposure หรือลงทุนมากจนเกินเหตุ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดทั่วไป

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้ คำแนะนำคือ:

  • ปรับลดจำนวนเงินเมื่อเผชิญกับตลาดผันผวนสูง assets อย่างคริปโตเคอร์เร็นซี อาจต้องเลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ต่ำกว่าเต็มจำนวน

  • อัปเดตค่าความสำเร็จอยู่เสมอ ด้วยข้อมูลล่าสุด แทนอาศัยเพียงข้อมูลย้อนหลังซึ่งบางครั้งไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว

อีกทั้ง,

กระจายพอร์ต ไปยังหลายๆ รายการช่วยลด overall ความเสี่ยง แม้ว่าสัดส่วนแต่ละรายการจะถูกจัดด้วยวิธีKelly ก็ตาม

ข้อดี & ข้อจำกัดของกลยุทธ์เชิงเทคนิคด้วย Kelley

ข้อดี:

– ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
– ให้กรอบแนวคิดสำหรับตัดสินใจแบบระบบ
– ลดแรงกิริยาและอารมณ์เข้ามามีบทบาทในการเลือกตำแหน่ง

แต่ก็มีข้อจำกัด:

– ขึ้นอยู่กับประมาณค่าความสำเร็จแม่นยำ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอน
– การฟิตโมเดลจนมากเกินไป อาจสร้างความมั่นใจผิดๆ – สมมุติว่าความน่าจะเป็นยังคงเดิม เป็นสิ่งหาได้ยากเมื่อตลาดเกิด shock อย่างรวบร้าว

สำหรับตลาดเคลื่อนไหวเร็ว เช่น สกุลเงินคริปโต ที่มี volatility สูง และบางครั้งก็ไร้อารยะ การนำสูตร Kelley มาใช้อย่างเคร่งครัด ต้องควบคู่เครื่องมือบริหารจัดการอื่นๆ เช่น trailing stops หรือกลยุทธ์ปรับตำแหน่งแบบไดนาไมค์ เพื่อรักษาเสถียรภาพและลดโอกาสเกิด loss ให้น้อยที่สุด

ปรับแต่วิธี Kelley สำหรับแต่ละประเภทของตลาด

ตลาดหุ้น & Forex

เน้นข้อมูลย้อนหลังระยะกลางถึงยาว สำหรับประมาณค่าความสำเร็จ รวมทั้งรวมปัจจัยมหภาคมาประกอบด้วย พร้อมทั้งเครื่องมือทางด้าน technical analysis เข้ามาช่วยประกอบกัน

สกุลเงินคริปโต & High-Frequency Trading

เนื่องจาก volatility สูง และราคาขึ้นลงรวบร้าว:

– เลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ครึ่งหนึ่งหรือควอร์เตอร์-Kelly
– ปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับ probability อยู่เรื่อย ๆ ตาม data stream แบบ real-time

กลยุทธ์ Algorithmic & Quantitative

สร้างระบบให้สามารถดำเนินงานเองผ่านโปรแกรม เท่านั้น ทำให้สามารถรักษา consistency ได้ทั่วทุก trade พร้อมกันนั้นก็ต้องปรับ dynamically ตามสถานะใหม่ๆ ของ market ด้วย

ทรัพย์เรียนรู้เพิ่มเติม & แนวโน้มอนาคต

เมื่อสนใจกลยุทธ์ quantitative ผสมผสานPrinciples ของKelly มากขึ้น หลายแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์เรียนออนไลน์เริ่มเสนอ course เกี่ยวข้อง รวมถึง software ต่าง ๆ ก็เริ่มฝังฟังก์ชั่นKelly calculator เข้ามา ทำให้ง่ายต่อผู้สนใจทั่วไป รวมถึงนักลงทุนรายเล็ก

บทส่งท้าย: สมบาละหว่างคณิตศาสตร์ กับ ความจริงบน Market

แม้ว่าการนำหลักเกณฑ์ Kelly ไปใช้สำหรับ sizing ตำแหน่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพสร้างผลตอบแทนออมทรัพย์ ระยะยาว แต่ก็ยังต้องรู้จักข้อจำกัด ปรับแต้มตาม appetite ความเสี่ยง และสถานการณ์จริง ตลาดบางช่วงก็พลิกพลิก จึงควรรวมวิธีอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น diversification, stop-loss orders, หลีกเลี่ยง overconfidence ฯลฯ เพื่อบริหารจัดการ risk อย่างครบถ้วน ทั้งยังช่วยสร้าง growth ให้แก่ portfolio ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

20
0
0
0
Background
Avatar

kai

2025-05-14 16:16

คุณใช้เกณฑ์เกลียว (Kelly Criterion) ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในการเทรดทางเทคนิคอย่างไรบ้าง?

วิธีการนำหลักเกณฑ์ Kelly มาใช้ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในเทรดดิ้งเชิงเทคนิค

ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ Kelly และบทบาทของมันในเทรดดิ้ง

หลักเกณฑ์ Kelly เป็นแนวทางทางคณิตศาสตร์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดขนาดเดิมพันโดยมุ่งเน้นให้การเติบโตของทุนระยะยาวสูงสุด เดิมทีพัฒนาขึ้นโดย John L. Kelly Jr. ในปี ค.ศ. 1956 สูตรนี้ได้รับการนำไปใช้แพร่หลายมากขึ้นนอกเหนือจากการพนัน โดยเฉพาะในด้านการเงินและการเทรดดิ้ง ในเชิงเทคนิค การใช้หลักเกณฑ์ Kelly ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจัดสรรทุนส่วนไหนให้กับแต่ละรายการตามความน่าจะเป็นที่ประมาณไว้และผลตอบแทนที่อาจได้รับ

แก่นแท้ของสูตรคือ การสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยคำนวณสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดของทุนทั้งหมดหรือเงินลงทุนที่จะนำไปใช้ในโอกาสนั้น ๆ วิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตสูงสุดพร้อมทั้งควบคุมความเสี่ยงในระยะยาว จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในตลาดที่ผันผวน เช่น สกุลเงินคริปโต หรือสภาพแวดล้อมการซื้อขายแบบ high-frequency trading

องค์ประกอบสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ Kelly

เพื่อให้สามารถใช้งานแนวทาง Kelly ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดย่อมต้องเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี้:

  • ค่าความคาดหวัง (Expected Value - EV): ผลตอบแทนเฉลี่ยที่จะได้รับจากการเทรดหากทำซ้ำหลายครั้ง
  • ความน่าจะเป็นชนะ (p): โอกาสที่จะทำกำไรได้จากรายการนั้น
  • ความน่าจะเป็นแพ้ (q): โอกาสที่จะเสียหรือไม่สำเร็จ ซึ่งโดยทฤษฎี ( q = 1 - p )
  • อัตราต่อรองหรืออัตราผลตอบแทน (b): อัตราส่วนแสดงผลกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับขาดทุน เช่น ถ้าโอกาสชนะคือ 2:1 หมายถึง ( b=2 )

สูตรคลาสสิกที่นิยมใช้อยู่คือ:

[ f = \frac{bp - q}{b} ]

โดย (f) คือ สัดส่วนของเงินทุนปัจจุบันที่จะนำไปลงทุนต่อหนึ่งรายการ

ขั้นตอนทีละขั้นตอนในการใช้งานสูตร

  1. ระบุโอกาสในการเข้าเทรด: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อหาโอกาสต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวย

  2. ประมาณค่าความน่าจะเป็น: วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังหรือเงื่อนไขตลาด เพื่อประมาณค่าความสำเร็จ ((p)) ตัวอย่างเช่น หากย้อนดูแล้วพบว่า setup คล้ายกันชนะประมาณ 60% ((p=0.6)) ก็สามารถนำตัวเลขนี้มาใช้เป็นค่าเริ่มต้นได้

  3. กำหนดอัตราต่อรอง: คำนวณอัตราผลตอบแทนคร่าว ๆ จากระดับราคาที่เข้าซื้อและเป้าหมายกำไร เทียบกับระดับ stop-loss ซึ่งจะช่วยให้ได้ค่า (b) ตัวอย่างเช่น เสี่ยง $100 แล้วตั้งเป้าไว้ $200 ก็จะได้ (b=2)

  4. คำนวณสัดส่วนตำแหน่งลงทุนสูงสุด: นำค่าที่ได้ใส่ลงในสูตร Kelley:

    [f = \frac{b p - (1-p)}{b}]

    ยกตัวอย่างด้วยตัวเลขก่อนหน้า:

    [f = \frac{2 * 0.6 - 0.4}{2} = \frac{1.2 - 0.4}{2} = \frac{0.8}{2} = 0.4]

    ซึ่งหมายถึง คำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 40% ของทุนปัจจุบันต่อหนึ่งรายการ — แต่ผู้ค้ารายอื่นมักปรับลดลงตามระดับความเสี่ยงที่รับไหว

  5. ปรับตามระดับความเสี่ยงส่วนตัว

แม้ว่าสูตรจะบ่งบอกว่าการลงทุนด้วยจำนวนเต็มเต็มอาจดูเหมือนสูง—โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน—นักเทรดย่อมควรรักษาระดับไว้ให้อยู่ในกรอบรับผิดชอบ และปรับลดจำนวนลงตามสถานการณ์จริง เช่น:

  • ใช้กลยุทธ์Kelly แบบครึ่งหนึ่ง หรือควอร์เตอร์-Kelly เมื่อไม่มั่นใจเรื่องค่าความสำเร็จ
  • ใช้คำสั่งหยุดขาดทุนร่วมกับตำแหน่งลงทุนตามจำนวนขั้นต่ำเหล่านี้เพื่อจำกัดความเสียหาย

แนวคิดด้านบริหารจัดการความเสี่ยง

แม้ว่าหลักเกณฑ์ Kelly จะมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดีเยี่ยม แต่ถ้านำไปใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้นักลงทุนเจอโบนัสภายในตลาดซึ่งไม่มีใครรู้จักดี เรียกว่า overexposure หรือลงทุนมากจนเกินเหตุ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดทั่วไป

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้ คำแนะนำคือ:

  • ปรับลดจำนวนเงินเมื่อเผชิญกับตลาดผันผวนสูง assets อย่างคริปโตเคอร์เร็นซี อาจต้องเลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ต่ำกว่าเต็มจำนวน

  • อัปเดตค่าความสำเร็จอยู่เสมอ ด้วยข้อมูลล่าสุด แทนอาศัยเพียงข้อมูลย้อนหลังซึ่งบางครั้งไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว

อีกทั้ง,

กระจายพอร์ต ไปยังหลายๆ รายการช่วยลด overall ความเสี่ยง แม้ว่าสัดส่วนแต่ละรายการจะถูกจัดด้วยวิธีKelly ก็ตาม

ข้อดี & ข้อจำกัดของกลยุทธ์เชิงเทคนิคด้วย Kelley

ข้อดี:

– ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
– ให้กรอบแนวคิดสำหรับตัดสินใจแบบระบบ
– ลดแรงกิริยาและอารมณ์เข้ามามีบทบาทในการเลือกตำแหน่ง

แต่ก็มีข้อจำกัด:

– ขึ้นอยู่กับประมาณค่าความสำเร็จแม่นยำ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอน
– การฟิตโมเดลจนมากเกินไป อาจสร้างความมั่นใจผิดๆ – สมมุติว่าความน่าจะเป็นยังคงเดิม เป็นสิ่งหาได้ยากเมื่อตลาดเกิด shock อย่างรวบร้าว

สำหรับตลาดเคลื่อนไหวเร็ว เช่น สกุลเงินคริปโต ที่มี volatility สูง และบางครั้งก็ไร้อารยะ การนำสูตร Kelley มาใช้อย่างเคร่งครัด ต้องควบคู่เครื่องมือบริหารจัดการอื่นๆ เช่น trailing stops หรือกลยุทธ์ปรับตำแหน่งแบบไดนาไมค์ เพื่อรักษาเสถียรภาพและลดโอกาสเกิด loss ให้น้อยที่สุด

ปรับแต่วิธี Kelley สำหรับแต่ละประเภทของตลาด

ตลาดหุ้น & Forex

เน้นข้อมูลย้อนหลังระยะกลางถึงยาว สำหรับประมาณค่าความสำเร็จ รวมทั้งรวมปัจจัยมหภาคมาประกอบด้วย พร้อมทั้งเครื่องมือทางด้าน technical analysis เข้ามาช่วยประกอบกัน

สกุลเงินคริปโต & High-Frequency Trading

เนื่องจาก volatility สูง และราคาขึ้นลงรวบร้าว:

– เลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ครึ่งหนึ่งหรือควอร์เตอร์-Kelly
– ปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับ probability อยู่เรื่อย ๆ ตาม data stream แบบ real-time

กลยุทธ์ Algorithmic & Quantitative

สร้างระบบให้สามารถดำเนินงานเองผ่านโปรแกรม เท่านั้น ทำให้สามารถรักษา consistency ได้ทั่วทุก trade พร้อมกันนั้นก็ต้องปรับ dynamically ตามสถานะใหม่ๆ ของ market ด้วย

ทรัพย์เรียนรู้เพิ่มเติม & แนวโน้มอนาคต

เมื่อสนใจกลยุทธ์ quantitative ผสมผสานPrinciples ของKelly มากขึ้น หลายแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์เรียนออนไลน์เริ่มเสนอ course เกี่ยวข้อง รวมถึง software ต่าง ๆ ก็เริ่มฝังฟังก์ชั่นKelly calculator เข้ามา ทำให้ง่ายต่อผู้สนใจทั่วไป รวมถึงนักลงทุนรายเล็ก

บทส่งท้าย: สมบาละหว่างคณิตศาสตร์ กับ ความจริงบน Market

แม้ว่าการนำหลักเกณฑ์ Kelly ไปใช้สำหรับ sizing ตำแหน่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพสร้างผลตอบแทนออมทรัพย์ ระยะยาว แต่ก็ยังต้องรู้จักข้อจำกัด ปรับแต้มตาม appetite ความเสี่ยง และสถานการณ์จริง ตลาดบางช่วงก็พลิกพลิก จึงควรรวมวิธีอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น diversification, stop-loss orders, หลีกเลี่ยง overconfidence ฯลฯ เพื่อบริหารจัดการ risk อย่างครบถ้วน ทั้งยังช่วยสร้าง growth ให้แก่ portfolio ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

JuCoin Square

คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข