วิธีการนำหลักเกณฑ์ Kelly มาใช้ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในเทรดดิ้งเชิงเทคนิค
ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ Kelly และบทบาทของมันในเทรดดิ้ง
หลักเกณฑ์ Kelly เป็นแนวทางทางคณิตศาสตร์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดขนาดเดิมพันโดยมุ่งเน้นให้การเติบโตของทุนระยะยาวสูงสุด เดิมทีพัฒนาขึ้นโดย John L. Kelly Jr. ในปี ค.ศ. 1956 สูตรนี้ได้รับการนำไปใช้แพร่หลายมากขึ้นนอกเหนือจากการพนัน โดยเฉพาะในด้านการเงินและการเทรดดิ้ง ในเชิงเทคนิค การใช้หลักเกณฑ์ Kelly ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจัดสรรทุนส่วนไหนให้กับแต่ละรายการตามความน่าจะเป็นที่ประมาณไว้และผลตอบแทนที่อาจได้รับ
แก่นแท้ของสูตรคือ การสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยคำนวณสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดของทุนทั้งหมดหรือเงินลงทุนที่จะนำไปใช้ในโอกาสนั้น ๆ วิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตสูงสุดพร้อมทั้งควบคุมความเสี่ยงในระยะยาว จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในตลาดที่ผันผวน เช่น สกุลเงินคริปโต หรือสภาพแวดล้อมการซื้อขายแบบ high-frequency trading
องค์ประกอบสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ Kelly
เพื่อให้สามารถใช้งานแนวทาง Kelly ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดย่อมต้องเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี้:
สูตรคลาสสิกที่นิยมใช้อยู่คือ:
[ f = \frac{bp - q}{b} ]
โดย (f) คือ สัดส่วนของเงินทุนปัจจุบันที่จะนำไปลงทุนต่อหนึ่งรายการ
ขั้นตอนทีละขั้นตอนในการใช้งานสูตร
ระบุโอกาสในการเข้าเทรด: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อหาโอกาสต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวย
ประมาณค่าความน่าจะเป็น: วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังหรือเงื่อนไขตลาด เพื่อประมาณค่าความสำเร็จ ((p)) ตัวอย่างเช่น หากย้อนดูแล้วพบว่า setup คล้ายกันชนะประมาณ 60% ((p=0.6)) ก็สามารถนำตัวเลขนี้มาใช้เป็นค่าเริ่มต้นได้
กำหนดอัตราต่อรอง: คำนวณอัตราผลตอบแทนคร่าว ๆ จากระดับราคาที่เข้าซื้อและเป้าหมายกำไร เทียบกับระดับ stop-loss ซึ่งจะช่วยให้ได้ค่า (b) ตัวอย่างเช่น เสี่ยง $100 แล้วตั้งเป้าไว้ $200 ก็จะได้ (b=2)
คำนวณสัดส่วนตำแหน่งลงทุนสูงสุด: นำค่าที่ได้ใส่ลงในสูตร Kelley:
[f = \frac{b p - (1-p)}{b}]
ยกตัวอย่างด้วยตัวเลขก่อนหน้า:
[f = \frac{2 * 0.6 - 0.4}{2} = \frac{1.2 - 0.4}{2} = \frac{0.8}{2} = 0.4]
ซึ่งหมายถึง คำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 40% ของทุนปัจจุบันต่อหนึ่งรายการ — แต่ผู้ค้ารายอื่นมักปรับลดลงตามระดับความเสี่ยงที่รับไหว
ปรับตามระดับความเสี่ยงส่วนตัว
แม้ว่าสูตรจะบ่งบอกว่าการลงทุนด้วยจำนวนเต็มเต็มอาจดูเหมือนสูง—โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน—นักเทรดย่อมควรรักษาระดับไว้ให้อยู่ในกรอบรับผิดชอบ และปรับลดจำนวนลงตามสถานการณ์จริง เช่น:
แนวคิดด้านบริหารจัดการความเสี่ยง
แม้ว่าหลักเกณฑ์ Kelly จะมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดีเยี่ยม แต่ถ้านำไปใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้นักลงทุนเจอโบนัสภายในตลาดซึ่งไม่มีใครรู้จักดี เรียกว่า overexposure หรือลงทุนมากจนเกินเหตุ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดทั่วไป
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้ คำแนะนำคือ:
ปรับลดจำนวนเงินเมื่อเผชิญกับตลาดผันผวนสูง assets อย่างคริปโตเคอร์เร็นซี อาจต้องเลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ต่ำกว่าเต็มจำนวน
อัปเดตค่าความสำเร็จอยู่เสมอ ด้วยข้อมูลล่าสุด แทนอาศัยเพียงข้อมูลย้อนหลังซึ่งบางครั้งไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว
อีกทั้ง,
กระจายพอร์ต ไปยังหลายๆ รายการช่วยลด overall ความเสี่ยง แม้ว่าสัดส่วนแต่ละรายการจะถูกจัดด้วยวิธีKelly ก็ตาม
ข้อดี & ข้อจำกัดของกลยุทธ์เชิงเทคนิคด้วย Kelley
ข้อดี:
– ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
– ให้กรอบแนวคิดสำหรับตัดสินใจแบบระบบ
– ลดแรงกิริยาและอารมณ์เข้ามามีบทบาทในการเลือกตำแหน่ง
แต่ก็มีข้อจำกัด:
– ขึ้นอยู่กับประมาณค่าความสำเร็จแม่นยำ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอน
– การฟิตโมเดลจนมากเกินไป อาจสร้างความมั่นใจผิดๆ – สมมุติว่าความน่าจะเป็นยังคงเดิม เป็นสิ่งหาได้ยากเมื่อตลาดเกิด shock อย่างรวบร้าว
สำหรับตลาดเคลื่อนไหวเร็ว เช่น สกุลเงินคริปโต ที่มี volatility สูง และบางครั้งก็ไร้อารยะ การนำสูตร Kelley มาใช้อย่างเคร่งครัด ต้องควบคู่เครื่องมือบริหารจัดการอื่นๆ เช่น trailing stops หรือกลยุทธ์ปรับตำแหน่งแบบไดนาไมค์ เพื่อรักษาเสถียรภาพและลดโอกาสเกิด loss ให้น้อยที่สุด
ปรับแต่วิธี Kelley สำหรับแต่ละประเภทของตลาด
เน้นข้อมูลย้อนหลังระยะกลางถึงยาว สำหรับประมาณค่าความสำเร็จ รวมทั้งรวมปัจจัยมหภาคมาประกอบด้วย พร้อมทั้งเครื่องมือทางด้าน technical analysis เข้ามาช่วยประกอบกัน
เนื่องจาก volatility สูง และราคาขึ้นลงรวบร้าว:
– เลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ครึ่งหนึ่งหรือควอร์เตอร์-Kelly
– ปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับ probability อยู่เรื่อย ๆ ตาม data stream แบบ real-time
สร้างระบบให้สามารถดำเนินงานเองผ่านโปรแกรม เท่านั้น ทำให้สามารถรักษา consistency ได้ทั่วทุก trade พร้อมกันนั้นก็ต้องปรับ dynamically ตามสถานะใหม่ๆ ของ market ด้วย
ทรัพย์เรียนรู้เพิ่มเติม & แนวโน้มอนาคต
เมื่อสนใจกลยุทธ์ quantitative ผสมผสานPrinciples ของKelly มากขึ้น หลายแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์เรียนออนไลน์เริ่มเสนอ course เกี่ยวข้อง รวมถึง software ต่าง ๆ ก็เริ่มฝังฟังก์ชั่นKelly calculator เข้ามา ทำให้ง่ายต่อผู้สนใจทั่วไป รวมถึงนักลงทุนรายเล็ก
บทส่งท้าย: สมบาละหว่างคณิตศาสตร์ กับ ความจริงบน Market
แม้ว่าการนำหลักเกณฑ์ Kelly ไปใช้สำหรับ sizing ตำแหน่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพสร้างผลตอบแทนออมทรัพย์ ระยะยาว แต่ก็ยังต้องรู้จักข้อจำกัด ปรับแต้มตาม appetite ความเสี่ยง และสถานการณ์จริง ตลาดบางช่วงก็พลิกพลิก จึงควรรวมวิธีอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น diversification, stop-loss orders, หลีกเลี่ยง overconfidence ฯลฯ เพื่อบริหารจัดการ risk อย่างครบถ้วน ทั้งยังช่วยสร้าง growth ให้แก่ portfolio ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
kai
2025-05-14 16:16
คุณใช้เกณฑ์เกลียว (Kelly Criterion) ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในการเทรดทางเทคนิคอย่างไรบ้าง?
วิธีการนำหลักเกณฑ์ Kelly มาใช้ในการกำหนดขนาดตำแหน่งในเทรดดิ้งเชิงเทคนิค
ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ Kelly และบทบาทของมันในเทรดดิ้ง
หลักเกณฑ์ Kelly เป็นแนวทางทางคณิตศาสตร์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดขนาดเดิมพันโดยมุ่งเน้นให้การเติบโตของทุนระยะยาวสูงสุด เดิมทีพัฒนาขึ้นโดย John L. Kelly Jr. ในปี ค.ศ. 1956 สูตรนี้ได้รับการนำไปใช้แพร่หลายมากขึ้นนอกเหนือจากการพนัน โดยเฉพาะในด้านการเงินและการเทรดดิ้ง ในเชิงเทคนิค การใช้หลักเกณฑ์ Kelly ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจัดสรรทุนส่วนไหนให้กับแต่ละรายการตามความน่าจะเป็นที่ประมาณไว้และผลตอบแทนที่อาจได้รับ
แก่นแท้ของสูตรคือ การสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยคำนวณสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดของทุนทั้งหมดหรือเงินลงทุนที่จะนำไปใช้ในโอกาสนั้น ๆ วิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตสูงสุดพร้อมทั้งควบคุมความเสี่ยงในระยะยาว จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในตลาดที่ผันผวน เช่น สกุลเงินคริปโต หรือสภาพแวดล้อมการซื้อขายแบบ high-frequency trading
องค์ประกอบสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ Kelly
เพื่อให้สามารถใช้งานแนวทาง Kelly ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดย่อมต้องเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี้:
สูตรคลาสสิกที่นิยมใช้อยู่คือ:
[ f = \frac{bp - q}{b} ]
โดย (f) คือ สัดส่วนของเงินทุนปัจจุบันที่จะนำไปลงทุนต่อหนึ่งรายการ
ขั้นตอนทีละขั้นตอนในการใช้งานสูตร
ระบุโอกาสในการเข้าเทรด: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อหาโอกาสต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวย
ประมาณค่าความน่าจะเป็น: วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังหรือเงื่อนไขตลาด เพื่อประมาณค่าความสำเร็จ ((p)) ตัวอย่างเช่น หากย้อนดูแล้วพบว่า setup คล้ายกันชนะประมาณ 60% ((p=0.6)) ก็สามารถนำตัวเลขนี้มาใช้เป็นค่าเริ่มต้นได้
กำหนดอัตราต่อรอง: คำนวณอัตราผลตอบแทนคร่าว ๆ จากระดับราคาที่เข้าซื้อและเป้าหมายกำไร เทียบกับระดับ stop-loss ซึ่งจะช่วยให้ได้ค่า (b) ตัวอย่างเช่น เสี่ยง $100 แล้วตั้งเป้าไว้ $200 ก็จะได้ (b=2)
คำนวณสัดส่วนตำแหน่งลงทุนสูงสุด: นำค่าที่ได้ใส่ลงในสูตร Kelley:
[f = \frac{b p - (1-p)}{b}]
ยกตัวอย่างด้วยตัวเลขก่อนหน้า:
[f = \frac{2 * 0.6 - 0.4}{2} = \frac{1.2 - 0.4}{2} = \frac{0.8}{2} = 0.4]
ซึ่งหมายถึง คำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 40% ของทุนปัจจุบันต่อหนึ่งรายการ — แต่ผู้ค้ารายอื่นมักปรับลดลงตามระดับความเสี่ยงที่รับไหว
ปรับตามระดับความเสี่ยงส่วนตัว
แม้ว่าสูตรจะบ่งบอกว่าการลงทุนด้วยจำนวนเต็มเต็มอาจดูเหมือนสูง—โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน—นักเทรดย่อมควรรักษาระดับไว้ให้อยู่ในกรอบรับผิดชอบ และปรับลดจำนวนลงตามสถานการณ์จริง เช่น:
แนวคิดด้านบริหารจัดการความเสี่ยง
แม้ว่าหลักเกณฑ์ Kelly จะมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดีเยี่ยม แต่ถ้านำไปใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้นักลงทุนเจอโบนัสภายในตลาดซึ่งไม่มีใครรู้จักดี เรียกว่า overexposure หรือลงทุนมากจนเกินเหตุ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดทั่วไป
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้ คำแนะนำคือ:
ปรับลดจำนวนเงินเมื่อเผชิญกับตลาดผันผวนสูง assets อย่างคริปโตเคอร์เร็นซี อาจต้องเลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ต่ำกว่าเต็มจำนวน
อัปเดตค่าความสำเร็จอยู่เสมอ ด้วยข้อมูลล่าสุด แทนอาศัยเพียงข้อมูลย้อนหลังซึ่งบางครั้งไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว
อีกทั้ง,
กระจายพอร์ต ไปยังหลายๆ รายการช่วยลด overall ความเสี่ยง แม้ว่าสัดส่วนแต่ละรายการจะถูกจัดด้วยวิธีKelly ก็ตาม
ข้อดี & ข้อจำกัดของกลยุทธ์เชิงเทคนิคด้วย Kelley
ข้อดี:
– ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
– ให้กรอบแนวคิดสำหรับตัดสินใจแบบระบบ
– ลดแรงกิริยาและอารมณ์เข้ามามีบทบาทในการเลือกตำแหน่ง
แต่ก็มีข้อจำกัด:
– ขึ้นอยู่กับประมาณค่าความสำเร็จแม่นยำ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอน
– การฟิตโมเดลจนมากเกินไป อาจสร้างความมั่นใจผิดๆ – สมมุติว่าความน่าจะเป็นยังคงเดิม เป็นสิ่งหาได้ยากเมื่อตลาดเกิด shock อย่างรวบร้าว
สำหรับตลาดเคลื่อนไหวเร็ว เช่น สกุลเงินคริปโต ที่มี volatility สูง และบางครั้งก็ไร้อารยะ การนำสูตร Kelley มาใช้อย่างเคร่งครัด ต้องควบคู่เครื่องมือบริหารจัดการอื่นๆ เช่น trailing stops หรือกลยุทธ์ปรับตำแหน่งแบบไดนาไมค์ เพื่อรักษาเสถียรภาพและลดโอกาสเกิด loss ให้น้อยที่สุด
ปรับแต่วิธี Kelley สำหรับแต่ละประเภทของตลาด
เน้นข้อมูลย้อนหลังระยะกลางถึงยาว สำหรับประมาณค่าความสำเร็จ รวมทั้งรวมปัจจัยมหภาคมาประกอบด้วย พร้อมทั้งเครื่องมือทางด้าน technical analysis เข้ามาช่วยประกอบกัน
เนื่องจาก volatility สูง และราคาขึ้นลงรวบร้าว:
– เลือกใช้เศษส่วนKelly ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ครึ่งหนึ่งหรือควอร์เตอร์-Kelly
– ปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับ probability อยู่เรื่อย ๆ ตาม data stream แบบ real-time
สร้างระบบให้สามารถดำเนินงานเองผ่านโปรแกรม เท่านั้น ทำให้สามารถรักษา consistency ได้ทั่วทุก trade พร้อมกันนั้นก็ต้องปรับ dynamically ตามสถานะใหม่ๆ ของ market ด้วย
ทรัพย์เรียนรู้เพิ่มเติม & แนวโน้มอนาคต
เมื่อสนใจกลยุทธ์ quantitative ผสมผสานPrinciples ของKelly มากขึ้น หลายแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์เรียนออนไลน์เริ่มเสนอ course เกี่ยวข้อง รวมถึง software ต่าง ๆ ก็เริ่มฝังฟังก์ชั่นKelly calculator เข้ามา ทำให้ง่ายต่อผู้สนใจทั่วไป รวมถึงนักลงทุนรายเล็ก
บทส่งท้าย: สมบาละหว่างคณิตศาสตร์ กับ ความจริงบน Market
แม้ว่าการนำหลักเกณฑ์ Kelly ไปใช้สำหรับ sizing ตำแหน่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพสร้างผลตอบแทนออมทรัพย์ ระยะยาว แต่ก็ยังต้องรู้จักข้อจำกัด ปรับแต้มตาม appetite ความเสี่ยง และสถานการณ์จริง ตลาดบางช่วงก็พลิกพลิก จึงควรรวมวิธีอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น diversification, stop-loss orders, หลีกเลี่ยง overconfidence ฯลฯ เพื่อบริหารจัดการ risk อย่างครบถ้วน ทั้งยังช่วยสร้าง growth ให้แก่ portfolio ได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข