Lo
Lo2025-05-20 15:45

การเพิ่มขึ้นของ ICO ในปี 2017 คืออะไรและมันส่งผลต่อกฎระเบียบอย่างไร?

ช่วงระเบิดของ ICO ในปี 2017: สิ่งที่เกิดขึ้นและผลกระทบต่อกฎระเบียบคริปโตเคอร์เรนซี

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพุ่งทะยานของ ICO ในปี 2017

ปี 2017 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของคริปโตเคอร์เรนซี โดยมีแรงผลักดันหลักมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ซึ่งเป็นวิธีระดมทุนรูปแบบใหม่ที่โครงการบล็อกเชนออกเหรียญโทเค็นของตนเองให้แก่นักลงทุนเพื่อแลกกับสกุลเงินคริปโตที่มีอยู่แล้ว เช่น Bitcoin หรือ Ethereum วิธีนี้ช่วยให้สตาร์ทอัปสามารถหลีกเลี่ยงช่องทางการระดมทุนแบบเดิม เช่น การลงทุนจากนักลงทุนร่วมทุน (Venture Capital) หรือสินเชื่อธนาคาร ทำให้เข้าถึงโอกาสในการลงทุนในระบบนิเวศน์บล็อกเชนได้อย่างเสรีมากขึ้น

ในช่วงเวลานี้ มี ICO มากกว่า 1,000 โครงการทั่วโลก ซึ่งรวมกันสามารถระดมทุนได้ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้คือ ความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนและราคาของ Bitcoin ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มี precedent — Bitcoin ทะลุผ่านระดับ $19,000 ในเดือนธันวาคม 2017 โครงการต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps), สัญญาอัจฉริยะ และโซลูชันอื่น ๆ ที่สร้างสรรค์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ก็เปิดเผยช่องว่างด้านการกำกับดูแลในหลายเขตอำนาจศาลด้วย

ทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์ ICO บูม?

ปัจจัยหลายประการส่งเสริมให้เกิดปรากฏการณ์นี้:

  • ความง่ายในการระดมทุน: สตาร์ทอัปด้านบล็อกเชนอาจระดมเงินจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านกฎเกณฑ์มากมาย
  • ความเข้าถึงได้ทั่วโลก: นักลงทุนจากทั่วทุกภูมิภาคสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่จำกัดทางภูมิศาสตร์
  • ตลาดเก็งกำไร: ราคาคริปโตเคอร์เรนซีที่เพิ่มสูงขึ้นสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับเก็งกำไร กระตุ้นให้นักลงทุนใหม่เข้ามาลงทุน
  • โมเดลการเงินแบบใหม่: แนวคิดเรื่องออกเหรียญซึ่งมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมและราคาเพิ่มขึ้น จึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนรายแรกได้รับผลตอบแทนดีเยี่ยม

องค์ประกอบเหล่านี้สร้างสิ่งแวดล้อมสำหรับเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงจากกลโกงและกิจกรรมผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน

ความท้าทายด้านกฎระเบียบในช่วงบูมครั้งนั้น

ตอนนั้น กรอบแนวทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับ ICO ยังไม่ได้รับการนิยามหรือยังคลุมเครือในหลายประเทศ หลายเขตอำนาจศาลไม่มีข้อกำหนดยืนยันว่าโทเค็นเป็นหลักทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินประเภทใด ความไม่แน่นอนนี้นำไปสู่สถานการณ์ “Wild West” — โครงการต่าง ๆ สามารถหาเงินได้โดยไม่มีการควบคุมดูแลเพียงพอ ขณะเดียวกัน ก็มีบางกรณีที่ใช้กลโกงหลอกลวงนักลงทุนด้วยตัวเลขปลอมและข้อมูลเท็จ

ตัวอย่างเช่น:

  • บางโปรเจ็กต์ไม่สามารถส่งมอบตามคำมั่นหลังจากได้เงินจำนวนมหาศาล
  • เกิดกลุ่มผู้ฉ้อโกงใช้ประโยชน์จากความสนใจของนักลงทุน
  • ขาดข้อมูลโปร่งใสมากพอทำให้นักลงทุนตรวจสอบความถูกต้องของโปรเจ็กต์ไม่ได้ง่าย ๆ

สถานการณ์ไร้กรอบควบคุมเหล่านี้ กระตุ้นให้องค์กรกำกับดูแลทั่วโลกกลับมาตั้งคำถามและปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิิจิทัล รวมถึงวิธี crowdfunding ด้วยคริปโตฯ ด้วย

ผลกระทบต่อแนวนโยบายด้านกฎระเบียบหลังยุคนั้น

หลังจากช่วงเวลาบูมนั้น ผลกระทบรุนแรงต่อวิธีคิดและแนวนโยบายของหน่วยงานกำกับดูแล:

สหรัฐฯ (SEC):

เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2017 คณะกรรมาธิการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐฯ (SEC) ออกประกาศเตือนภัยเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทะเบียน ICO ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการดำเนินงานครั้งแรก ๆ ของ SEC ต่อมา ในปี 2020 ก็มีฟ้องร้องต่อนิติบุคคลใหญ่ เช่น การเสนอขายโทเค็น $1.7 พันล้าน ของ Telegram ซึ่งกลายเป็นบทเรียนสำคัญว่าการเสนอขายเหรียญโดยไม่ได้ลงทะเบียน เป็นสิ่งผิดกฎหมายภายใต้ข้อกล่าวหาเรื่อง “securities” ที่ไม่ได้รับอนุญาต

ตอบสนองระดับโลก:

  • สิงคโปร์: ออกแนวทางเพื่อสร้างความโปร่งใสมาข้อมูลรายละเอียดโปรเจ็กต์ก่อนเปิดขายเหรียญ
  • จีน: ห้ามกิจกรรม ICO ทั้งหมด เนื่องจากวิตกว่า ตลาดจะผันผวน และกลัวว่าจะถูกใช้เพื่อกิจกรรมฉ้อโกง ส่งผลสะเทือนต่อตลาดโลก
  • ยุโรป: เริ่มร่างกรอบข้อกำหนดย่อย เช่น MiCA (Markets in Crypto Assets) เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันสำหรับสินทรัพย์ดิิจิทัล รวมทั้งเหรียญที่ออกผ่าน ICO เพื่อรักษาความปลอดภัยแก่นักลงทุน พร้อมส่งเสริมธุรกิจ นอกจากนี้ยังเน้นมาตรฐาน AML/CFT สำหรับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิิจิทัลอีกด้วย

มาตราการเหล่านี้ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันนักลงทุน พร้อมทั้งสนับสนุนพื้นที่สำหรับ นวัตกรรมใหม่ภายในขอบเขตกำกับดูแลตามสมควร

วิถีวิวัฒนาการของกฎเกณฑ์หลังยุคนั้น

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว หน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินมาตรฐานเพิ่มเติม เช่น:

  1. เพิ่มความชัดเจนคริสต์: ปี ค.ศ.2020 SEC ให้คำแนะนำว่าดิจิทัลเอซัทยังอยู่ในข่าย “securities” หรือไม่ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้นักออกเหรียญรู้จักวิธีปฏิบัติพร้อมทั้งลดข้อผิดพลาดในการดำเนินธุรกิจ
  2. พยายาม harmonize ระดับชาติ: องค์กรระดับโลก เช่น FATF ออกแนวทางเรื่อง AML/CFT สำหรับสินทรัพย์เสมือน เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
  3. ตลาดเติบโตเต็มวัย & ป้องกันนักลงทุก: การตรวจสอบเข้มหรือ scrutiny ช่วยลดกิจกรรมฉ้อโกง พร้อมส่งเสริมบริษัทผู้ประกอบธุรกิจจริง ให้ดำเนินงานภายใต้ระบบบริหารจัดการตามธรรมาภาพ

แม้จะมีวิวัฒนาการ แต่ราคาตลาดยังผันผวนสูง ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันภายในเวลาไม่นาน จากแรงซื้อขายเก็งกำไรหรือเศรษฐกิจมหภาคก็ส่งผลต่อภาพรวมตลาด crypto อยู่ดี[11]

ผลกระทงะยะยาวต่อวงการ Blockchain

ปรากฏการณ์ ICO ปี 2017 ไม่ใช่เพียงแต่เปลี่ยนนโยบายทันทีทันใด แต่ยังเร่งให้วงการเข้าสู่ขั้นตอน maturation มากขึ้น โดยบริษัทต่างๆ เริ่มนำเอาแนวทาง transparency มาใช้มากขึ้น ตามข้อกำหนดยึ ดตาม กฎหมาย แรงผลักสำคัญคือ:

– ส่งเสริม innovation ด้าน security token offerings (STOs) ที่หวังจะเป็นตัวเลือก compliant มากกว่า
– นักลงทุกเริ่มใช้วิจารณญาณมากขึ้น เน้นตรวจสอบข้อมูลก่อน ลงทุนจริงจัง
– พัฒนา legal frameworks ครอบคลุมเฉพาะกิจ เพื่อลักษณะ fundraising บนอุตสาหกรรม blockchain[8]

ช่วงเวลานี้สะท้อนทั้งคุณค่า และ pitfalls ของ DeFi models อย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้วันนี้เราเห็น best practices เกี่ยวข้อง กับ investor protection และ regulatory compliance ภายในตลาด crypto อย่างครบถ้วน[10]


มองไปข้างหน้า: สมบาลแห่ง Innovation กับ Regulation

แม้ว่าตลาดคริปโตจะยังเดินหน้าพัฒนา เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง DeFi ก็เริ่มแพร่หลาย—บทเรียนจากอดีตก็ยังสำคัญอยู่ดี[11] หน่วยงาน regulator ทั่วโลก จึงตั้งเป้าไปที่สมบาล ระหว่าง fostering technological progress กับ ป้องกัน consumer / ระบบไฟแนนซ์ จาก activities เสี่ยงภัยเกินจำเป็น จุด focus หลัก ได้แก่:

  • การรวม standards ระหว่างประเทศ ผ่านองค์กร like FATF;
  • การนิยามศัพท์ clear ระหว่าง utility tokens กับ securities;
  • การนำ AML/CFT protocols เข้มแข็ง สำหรับผู้บริการสินทรัพย์ดิิจิทัล;

ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่หวังไว้ว่า จะช่วยรักษาผลประโยชน์นักลงทุน ให้มั่นใจ พร้อมรองรับ growth ยั่งยืน ของ industry นี้ ไปพร้อมๆ กัน

20
0
0
0
Background
Avatar

Lo

2025-05-22 21:00

การเพิ่มขึ้นของ ICO ในปี 2017 คืออะไรและมันส่งผลต่อกฎระเบียบอย่างไร?

ช่วงระเบิดของ ICO ในปี 2017: สิ่งที่เกิดขึ้นและผลกระทบต่อกฎระเบียบคริปโตเคอร์เรนซี

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพุ่งทะยานของ ICO ในปี 2017

ปี 2017 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของคริปโตเคอร์เรนซี โดยมีแรงผลักดันหลักมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ซึ่งเป็นวิธีระดมทุนรูปแบบใหม่ที่โครงการบล็อกเชนออกเหรียญโทเค็นของตนเองให้แก่นักลงทุนเพื่อแลกกับสกุลเงินคริปโตที่มีอยู่แล้ว เช่น Bitcoin หรือ Ethereum วิธีนี้ช่วยให้สตาร์ทอัปสามารถหลีกเลี่ยงช่องทางการระดมทุนแบบเดิม เช่น การลงทุนจากนักลงทุนร่วมทุน (Venture Capital) หรือสินเชื่อธนาคาร ทำให้เข้าถึงโอกาสในการลงทุนในระบบนิเวศน์บล็อกเชนได้อย่างเสรีมากขึ้น

ในช่วงเวลานี้ มี ICO มากกว่า 1,000 โครงการทั่วโลก ซึ่งรวมกันสามารถระดมทุนได้ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้คือ ความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนและราคาของ Bitcoin ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มี precedent — Bitcoin ทะลุผ่านระดับ $19,000 ในเดือนธันวาคม 2017 โครงการต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps), สัญญาอัจฉริยะ และโซลูชันอื่น ๆ ที่สร้างสรรค์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ก็เปิดเผยช่องว่างด้านการกำกับดูแลในหลายเขตอำนาจศาลด้วย

ทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์ ICO บูม?

ปัจจัยหลายประการส่งเสริมให้เกิดปรากฏการณ์นี้:

  • ความง่ายในการระดมทุน: สตาร์ทอัปด้านบล็อกเชนอาจระดมเงินจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านกฎเกณฑ์มากมาย
  • ความเข้าถึงได้ทั่วโลก: นักลงทุนจากทั่วทุกภูมิภาคสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่จำกัดทางภูมิศาสตร์
  • ตลาดเก็งกำไร: ราคาคริปโตเคอร์เรนซีที่เพิ่มสูงขึ้นสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับเก็งกำไร กระตุ้นให้นักลงทุนใหม่เข้ามาลงทุน
  • โมเดลการเงินแบบใหม่: แนวคิดเรื่องออกเหรียญซึ่งมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมและราคาเพิ่มขึ้น จึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนรายแรกได้รับผลตอบแทนดีเยี่ยม

องค์ประกอบเหล่านี้สร้างสิ่งแวดล้อมสำหรับเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงจากกลโกงและกิจกรรมผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน

ความท้าทายด้านกฎระเบียบในช่วงบูมครั้งนั้น

ตอนนั้น กรอบแนวทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับ ICO ยังไม่ได้รับการนิยามหรือยังคลุมเครือในหลายประเทศ หลายเขตอำนาจศาลไม่มีข้อกำหนดยืนยันว่าโทเค็นเป็นหลักทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินประเภทใด ความไม่แน่นอนนี้นำไปสู่สถานการณ์ “Wild West” — โครงการต่าง ๆ สามารถหาเงินได้โดยไม่มีการควบคุมดูแลเพียงพอ ขณะเดียวกัน ก็มีบางกรณีที่ใช้กลโกงหลอกลวงนักลงทุนด้วยตัวเลขปลอมและข้อมูลเท็จ

ตัวอย่างเช่น:

  • บางโปรเจ็กต์ไม่สามารถส่งมอบตามคำมั่นหลังจากได้เงินจำนวนมหาศาล
  • เกิดกลุ่มผู้ฉ้อโกงใช้ประโยชน์จากความสนใจของนักลงทุน
  • ขาดข้อมูลโปร่งใสมากพอทำให้นักลงทุนตรวจสอบความถูกต้องของโปรเจ็กต์ไม่ได้ง่าย ๆ

สถานการณ์ไร้กรอบควบคุมเหล่านี้ กระตุ้นให้องค์กรกำกับดูแลทั่วโลกกลับมาตั้งคำถามและปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิิจิทัล รวมถึงวิธี crowdfunding ด้วยคริปโตฯ ด้วย

ผลกระทบต่อแนวนโยบายด้านกฎระเบียบหลังยุคนั้น

หลังจากช่วงเวลาบูมนั้น ผลกระทบรุนแรงต่อวิธีคิดและแนวนโยบายของหน่วยงานกำกับดูแล:

สหรัฐฯ (SEC):

เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2017 คณะกรรมาธิการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐฯ (SEC) ออกประกาศเตือนภัยเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทะเบียน ICO ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการดำเนินงานครั้งแรก ๆ ของ SEC ต่อมา ในปี 2020 ก็มีฟ้องร้องต่อนิติบุคคลใหญ่ เช่น การเสนอขายโทเค็น $1.7 พันล้าน ของ Telegram ซึ่งกลายเป็นบทเรียนสำคัญว่าการเสนอขายเหรียญโดยไม่ได้ลงทะเบียน เป็นสิ่งผิดกฎหมายภายใต้ข้อกล่าวหาเรื่อง “securities” ที่ไม่ได้รับอนุญาต

ตอบสนองระดับโลก:

  • สิงคโปร์: ออกแนวทางเพื่อสร้างความโปร่งใสมาข้อมูลรายละเอียดโปรเจ็กต์ก่อนเปิดขายเหรียญ
  • จีน: ห้ามกิจกรรม ICO ทั้งหมด เนื่องจากวิตกว่า ตลาดจะผันผวน และกลัวว่าจะถูกใช้เพื่อกิจกรรมฉ้อโกง ส่งผลสะเทือนต่อตลาดโลก
  • ยุโรป: เริ่มร่างกรอบข้อกำหนดย่อย เช่น MiCA (Markets in Crypto Assets) เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันสำหรับสินทรัพย์ดิิจิทัล รวมทั้งเหรียญที่ออกผ่าน ICO เพื่อรักษาความปลอดภัยแก่นักลงทุน พร้อมส่งเสริมธุรกิจ นอกจากนี้ยังเน้นมาตรฐาน AML/CFT สำหรับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิิจิทัลอีกด้วย

มาตราการเหล่านี้ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันนักลงทุน พร้อมทั้งสนับสนุนพื้นที่สำหรับ นวัตกรรมใหม่ภายในขอบเขตกำกับดูแลตามสมควร

วิถีวิวัฒนาการของกฎเกณฑ์หลังยุคนั้น

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว หน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินมาตรฐานเพิ่มเติม เช่น:

  1. เพิ่มความชัดเจนคริสต์: ปี ค.ศ.2020 SEC ให้คำแนะนำว่าดิจิทัลเอซัทยังอยู่ในข่าย “securities” หรือไม่ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้นักออกเหรียญรู้จักวิธีปฏิบัติพร้อมทั้งลดข้อผิดพลาดในการดำเนินธุรกิจ
  2. พยายาม harmonize ระดับชาติ: องค์กรระดับโลก เช่น FATF ออกแนวทางเรื่อง AML/CFT สำหรับสินทรัพย์เสมือน เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
  3. ตลาดเติบโตเต็มวัย & ป้องกันนักลงทุก: การตรวจสอบเข้มหรือ scrutiny ช่วยลดกิจกรรมฉ้อโกง พร้อมส่งเสริมบริษัทผู้ประกอบธุรกิจจริง ให้ดำเนินงานภายใต้ระบบบริหารจัดการตามธรรมาภาพ

แม้จะมีวิวัฒนาการ แต่ราคาตลาดยังผันผวนสูง ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันภายในเวลาไม่นาน จากแรงซื้อขายเก็งกำไรหรือเศรษฐกิจมหภาคก็ส่งผลต่อภาพรวมตลาด crypto อยู่ดี[11]

ผลกระทงะยะยาวต่อวงการ Blockchain

ปรากฏการณ์ ICO ปี 2017 ไม่ใช่เพียงแต่เปลี่ยนนโยบายทันทีทันใด แต่ยังเร่งให้วงการเข้าสู่ขั้นตอน maturation มากขึ้น โดยบริษัทต่างๆ เริ่มนำเอาแนวทาง transparency มาใช้มากขึ้น ตามข้อกำหนดยึ ดตาม กฎหมาย แรงผลักสำคัญคือ:

– ส่งเสริม innovation ด้าน security token offerings (STOs) ที่หวังจะเป็นตัวเลือก compliant มากกว่า
– นักลงทุกเริ่มใช้วิจารณญาณมากขึ้น เน้นตรวจสอบข้อมูลก่อน ลงทุนจริงจัง
– พัฒนา legal frameworks ครอบคลุมเฉพาะกิจ เพื่อลักษณะ fundraising บนอุตสาหกรรม blockchain[8]

ช่วงเวลานี้สะท้อนทั้งคุณค่า และ pitfalls ของ DeFi models อย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้วันนี้เราเห็น best practices เกี่ยวข้อง กับ investor protection และ regulatory compliance ภายในตลาด crypto อย่างครบถ้วน[10]


มองไปข้างหน้า: สมบาลแห่ง Innovation กับ Regulation

แม้ว่าตลาดคริปโตจะยังเดินหน้าพัฒนา เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง DeFi ก็เริ่มแพร่หลาย—บทเรียนจากอดีตก็ยังสำคัญอยู่ดี[11] หน่วยงาน regulator ทั่วโลก จึงตั้งเป้าไปที่สมบาล ระหว่าง fostering technological progress กับ ป้องกัน consumer / ระบบไฟแนนซ์ จาก activities เสี่ยงภัยเกินจำเป็น จุด focus หลัก ได้แก่:

  • การรวม standards ระหว่างประเทศ ผ่านองค์กร like FATF;
  • การนิยามศัพท์ clear ระหว่าง utility tokens กับ securities;
  • การนำ AML/CFT protocols เข้มแข็ง สำหรับผู้บริการสินทรัพย์ดิิจิทัล;

ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่หวังไว้ว่า จะช่วยรักษาผลประโยชน์นักลงทุน ให้มั่นใจ พร้อมรองรับ growth ยั่งยืน ของ industry นี้ ไปพร้อมๆ กัน

JuCoin Square

คำเตือน:มีเนื้อหาจากบุคคลที่สาม ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน
ดูรายละเอียดในข้อกำหนดและเงื่อนไข